วันอังคารที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2555


 เทคนิคการเลี้ยงปลาทองในตู้   นักเลี้ยงปลาทองส่วนใหญ่นิยมเลี้ยงในตู้มากกว่า ภาชนะอย่างอื่น เพราะนอกเหนือจากความงดงามอ่อนช้อยของปลาทองแล้ว ยังสามารถตกแต่งตู้ปลาให้สวยงามเป็นเครื่องประดับบ้านโชว์แขกที่มาเยี่ยมเยือนได้เป็นอย่างดี
   การเลี้ยงปลาทองในตู้จะต้องมีการเตรียมการล่วงหน้าดังต่อไปนี้
เลือกสถานที่
   ก่อนซื้อตู้ปลา ควรกำหนดจุดหรือบริเวณภายในบ้านหรืออาคารสำหรับเป็นที่ตั้งตู้ปลาเสียก่อน วัดขนาดความกว้างความสูงของสถานที่ ให้แน่นอนแล้วจึงไปหาซื้อตู้ที่มีขนาดพอเหมาะกับสถานที่ตั้ง
   จุดที่เหมาะสำหรับตั้งตู้เลี้ยงปลาทองควรเป็นที่อากาศถ่ายเทสะดวกถ้าได้ที่มีแสงแดดตอนเข้าส่องถึงจะดีมาก เพราะแสงแดดยามเช้าจะทำให้สีของปลาเข้มขึ้น ตรงกันข้ามกับแสงแดดยามบ่ายจะทำให้สีของปลาจางลงนอกจากนั้นแล้วจุดตั้งตู้เลี้ยงปลาควรอยู่ตรงที่สามารถขับถ่ายน้ำได้สะดวก
ตู้เลี้ยงปลา
   ตู้เลี้ยงปลาทองควรพิจารณาเลือกตู้ที่มีรูปทรงและขนาดให้เหมาะสมกับพื้นที่ที่เลือกไว้ อย่างไรก็ตามขนาดของตู้ไม่ควรเล็กเกินไปถ้าต้องการจะตกแต่งตู้ด้วยพรรณไม้น้ำและวัสดุอย่างอื่นเช่นก้อนหิน หรือขอนไม้
   ตู้เลี้ยงปลาปัจจุบันนิยมใช้กันอยู่ 2 ชนิด คือ ตู้ที่ทำด้วยแผ่นกระจก และตู้ที่หล่อขึ้นจากอะคริลิกใส ตู้กระจกมีข้อดีตรงที่ไม่เป็นรอยขีดข่วนง่ายเวลาทำความสะอาด แต่เสียตรงที่มีน้ำหนักมาก เคลื่อนย้ายลำบาก และมีรอยต่อตรงมุมตู้ส่วนตู้อะคริลิกมี่ข้อดีตรงที่มีความใสมากกว่าแผ่นกระจก ไม่มีรอยต่อตรงมุมตู้น้ำหนักเบา มีความยืดหยุ่น แต่มีข้อเสียที่ราคาแพง เกิดรอยขีดข่วนง่ายและถ้าเป็นอะคริลิกคุณภาพต่ำเมื่อใช้ไปนาน ๆ  จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองชาด้วยเหตุนี้ตู้กระจกจึงยังได้รับความนิยมมากกว่า
การจัดเตรียมตู้ปลา
   ตู้ปลาที่ซื้อมาใหม่จะต้องล้างทำความสะอาดแล้วใสน้ำแช่ทิ้งไว้ 2-3 วัน ระหว่างที่ใสน้ำแช่ไว้ควรตรวจสอบดูว่ามีการรั่วซึมที่ใดบ้างหรือเปล่าถ้ามีก็จัดการซ่อมแซมให้เรียบร้อยเสียก่อน หลังจากนั้นถ่ายน้ำที่แช่ไว้ออกให้หมด เช็ดให้แห้งแล้วนำไปวางเข้าที่ที่เตรียมไว้ การเคลื่อนย้ายตู้ปลาควรใช้มือช้อนเข้าไปในตู้แล้วยก อย่าจับขอบด้านบนแล้วยกเป็นอันขาด เพราะอาจทำให้แผ่นกระจกด้านข้างโย้ไปมาจนกาวยึดรอยต่อเกิดการรั่วซึมหรือฉีกขาดได้
เตรียมแผ่นกรอง
   แผ่นกรองก่อนนำมาใช้จะต้องทำความสะอาดเสียก่อนเนื่องจากแผ่นกรองทำด้วยพลาสติกที่ใช้สารเคมีในขบวนการผลิต ถ้าไม่ล้างออกให้หมดอาจเป็นอันตรายต่อปลา จากนั้นนำแผ่นกรองประกอบเข้ากับท่อระบายอากาศ ต่อสายยางจากปั้มลมเข้ากับท่อลมข้างท่อระบายอากาศ แล้วเอาแผ่นกรองวางแนบกับพื้นตู้
เตรียมพื้นตู้
   วัสดุที่ใช้ปูพื้นตู้โดยมากนิยมใช้ทรายหยาบหรือกรวดขนาดเล็ก ไม่ควรใช้ทรายละเอียด เพราะจะทำให้ประสิทธิภาพการกรองลดลงตกตะกอนและเศษของเสียยังตกค้างอยู่บนพื้นผิวทราย เป็นสาเหตุให้น้ำขุ่น สำหรับปลาทองซึ่งเป็นปลาที่ชอบคุ้ยหาอาหารที่พื้นจึงควรใช้กรวดขนาดใหญ่ขึ้นมาหน่อย หรือขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 มิลลิเมตร และควรเลือกกรวดที่ไม่มีเหลี่ยมแหลมคมและปราศจากเศษเปลือกหอย ป้องกันปลาทองบาดเจ็บเมื่อว่ายไปชน
   ก่อนนำกรวดมาใช้ปูพื้นตู้ปลาจะต้องล้างให้สะอาดจนหมดเศษดินแล้วแช่น้ำทิ้งไว้ 2-3 วันเพื่อกำจัดความเค็มที่อาจติดมากับกรวดถ้าจะให้ดีก็ควรเอากรวดมาลวกน้ำร้อนในถังแช่ทิ้งไว้ประมาณ  10-15 นาที เพื่อให้น้ำร้อนแทรกซึมเม็ดกรวดได้ทั่วถึง แล้วจึงนำมาล้างน้ำเย็นให้สะอาดก่อนนำไปใช้
   นำกรวดที่ล้างสะอาดแล้วไปเทใส่ตู้กลบทับแผ่นกรองให้มิดและหนาอย่างน้อย 3 นิ้ว ที่นิยมกันมากจะปูพื้นให้ระดับกรวดด้านหลังตู้สูงกว่าด้านหน้า พื้นกรวดที่มีลักษณะเอียงลาดแบบนี้เมื่อนานไป กรวดที่อยู่ระดับสูงจะเลื่อนไหลลงมาอยู่ที่ระดับเดียวกันเป็นพื้นราบ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาควรหาอะไรมากั้นดักเอาไว้เป็นช่วง ๆ
ขั้นตอนการเตรียมตู้ปลา
1. ใส่กรวดทับลงไปบนแผ่นกรอง
2. เกลี่ยกรวดให้เต็มพื้นตู้
3. ปรับระดับชั้นกรวดสูงต่ำตามต้องการ
4. ตกแต่งด้วยก้อนหิน ขอนไม้ ตามชอบ
5. ใส่น้ำโดยใช้พลาสติกหรือชามรองกันทรายกระจายขึ้นมา
6. ถ้าต้องการตกแต่งด้วยพันธุ์ไม้น้ำใส่น้ำลงไปประมาณ 1 ใน 3 ก่อน
7. เริ่มปลูกต้นไม้น้ำที่เป็นฉากหลังก่อน
8. ปลูกต้นไม้น้ำระดับกลางตู้
9. ปลูกต้นไม้น้ำขนาดเล็กไว้ด้านหน้าตู้
10. หลังจากปลูกต้นไม้น้ำหมดแล้วให้ถ่ายน้ำทิ้ง
11. ใส่น้ำสะอาดไปให้เต็มตู้แล้วช้อนเศษใบและกิ่งก้านไม้น้ำที่ลอยอยู่ในน้ำออกให้หมด
12. ตู้ที่จัดเสร็จแล้วแต่น้ำยังขุ่นอยู่ ต้องรอให้น้ำใสเสียก่อนจึงค่อยปล่อยปลาลงไปเลี้ยง
การตกแต่ง
   อุปกรณ์สำหรับตกแต่งตู้เลี้ยงปลาทองต้องเลือกวัสดุที่ไม่มีเหลี่ยมคมไม่ว่าจะเป็นก้อนหิน หรือขอนไม้และที่ไม่ควรใช้อย่างยิ่งคือ ปะการัง ซึ่งมีแง่แหลมคมมากมายเป็นอันตรายต่อปลาทอง อุปกรณ์ตกแต่งทุกชิ้นจะต้องผ่านการล้างทำความสะอาดเสียก่อนจึงค่อยนำไปใช้
การใส่น้ำลงไปในตู้
   ก่อนใส่น้ำลงไปในตู้ปลาควรเอาพลาสติกอ่อนคลุ่มพื้นตู้หรือเอาชามไปวางไว้ก้นตู้กันกรวดกระจายเพราะแรงน้ำ เมื่อใส่น้ำลงไปในตู้ครั้งแรกจะขุ่นขึ้นมาทันทีควรถ่ายทิ้งแล้วเติมน้ำใหม่ลงไปถ้าต้องการจะตกแต่งด้วยพรรณไม้น้ำก็ทำเสียตอนนี้ แต่ควรทราบไว้อย่างหนึ่งว่า ปลาทองส่วนใหญ่ชอบกัดทำลายพืชน้ำ หากต้องการให้ภูมิทัศน์ในตู้ปลามีสีสันของพรรณไม้น้ำขอแนะนำว่าควรใช้ต้นไม้น้ำประดิษฐ์มาตกแต่งแทน
  



 หลังจากตกแต่งด้วยพรรณไม้น้ำแล้วหากน้ำขุ่นมากก็ถ่ายออกแล้วเติมน้ำใหม่ลงไป พร้อมกันนี้ก็เปิดเครื่องปั๊มลมเพื่อเติมออกซิเจนให้กับน้ำและให้ระบบการกรองเริ่มทำงานทันที
   น้ำที่เหมาะสมสำหรับใช้เลี้ยงปลาในตู้มากที่สุด คือ น้ำประปา เนื่องจากผ่านการฆ่าเชื้อด้วยคลอรีนมาแล้วจึงมั่นใจได้ว่าไม่เป็นพาหะนำเชื้อโรค มาแพร่สู่ปลาที่เลี้ยง น้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นน้ำจากบ่อ แม่น้ำ คลอง  บึง ไม่เหมาะจะเอามาใช้เลี้ยงปลาทองเพราะเสี่ยงต่อจุลินทรีย์ที่ปะปนมากับน้ำซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อปลา
วิธีกำจัดสารคลอรีนในน้ำประปา
   การกำจัดสารคลอรีนในน้ำประปาสามารถทำได้หลายวิธี เช่น เอาน้ำประปาไปพักไว้ในภาชนะสำหรับกักเก็บน้ำ เช่น ตุ่ม ถัง หรือแม้แต่ตู้ที่จะเลี้ยง ปลาเป็นเวลาประมาณ 1-2 วัน เพื่อให้คลอรีนระเหยไปจนหมด ระหว่างการพักน้ำหากเป่าอากาศลงไปด้วยก็จะช่วงเร่งคลอรีนให้ระเหยเร็วยิ่งขึ้น
   วิธีกำจัดคลอรีนออกจากน้ำประปาที่สะดวกที่สุดก็คือ เปิดน้ำประปาผ่านเข้าไปในเครื่องกรองน้ำแล้วเอาน้ำที่ออกมาไปใช้เลี้ยงปลาได้เลย เนื่องจากเครื่องกรองน้ำมีผงถ่านคาร์บอน  
(Activated carbon)  ซึ่งมีคุณสมบัติในการดูดซับคลอรีน สี และ กลิ่นต่างๆ ที่ละลายอยู่ในน้ำทำให้น้ำที่ออกมาใสสะอาดปราศจากสีและกลิ่น
   การกำจัดคลอรีนออกจากน้ำประปาอีกวิธีหนึ่งคือ การใช้สารกำจัดคลอรีน สารที่มีว่านี้มีชื่อทางเคมีว่า "โซเดียมไธโอซัลเฟต"  
(soudiumthio-sulfate)  การใช้สารกำจัดคลอรีนต้องทำตามคำแนะนำในฉลากข้างภาชนะบรรจุโดยเคร่งครัด ถ้าใช้มากเกินไปตัวสารกำจัดคลอรีนเองจะกลับมาเป็นอันตรายต่อปลาที่ปล่อยลงไปเลี้ยงได้
การปล่อยปลาลงตู้
   ก่อนปล่อยปลาลงตู้เลี้ยงควรสังเกตดูว่าน้ำสะอาดดีแล้วหรือยัง การปล่อยปลาลงตู้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยที่จะมองข้าม นักเลี้ยงปลาตู้ถือเป็นขั้นตอนสำค้ญที่สุดของการเลี้ยงปลาหากไม่รู้เทคนิคปลาอาจตายหรือไม่ยอมกินอาหารสาเหตุเนื่องจากความแตกต่างของสภาพน้ำในตู้กับสภาพน้ำในถุงปลาที่ซื้อมา
การให้อาหารปลาทอง
   ปลาทองกินอาหารได้ทั้งที่เป็นพืชและสัตว์ และทั้งที่เป็นอาหารธรรมชาติและอาหารสำเร็จรูป
   อาหารประเภทพืช
    ได้แก่ สาหร่าย แหนเป็ด และผักต่างๆ อาหารเหล่านี้เป็นตัวเสริมสร้างวิตามิน บางชนิดมีประโยชน์ทำให้สีของปลาเข้าขึ้น อย่างเช่นสาหร่ายสไปรูลิน่า  ซึ่งปัจจุบันผลิตออกมาในรูปอาหารสำเร็จรูป นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย อาหารพืชจากธรรมชาติได้แก่  แหนเป็ด หรือผัก
   อาหารประเภทสัตว์
   ได้แก่  ลูกน้ำ ไรแดง 
(Moina) ไรน้ำตาล (Artemia)  หนอนแดงและไส้เดือนน้ำ  สิ่งที่มีชีวิตเหล่านี้อุดมไปด้วยโปรตีน สารประของกรดอะมิโนที่ช่วยให้ปลามีอัตราการเจริญเติบโตที่รวดเร็ว มีความสมบูรณ์ทางเพศดี
   อีกปัญหาหนึ่งสำหรับอาหารปลาทองที่มีชีวิต คือ การเก็บรักษาอาหารให้สดอยู่ตลอดเวลา ซึ้งอาหารแต่ละชนิดก็มีวิธีเก็บรักษาที่แตกต่างกันไป คือ
    ลูกน้ำ  มีปัญหาที่ลูกน้ำกลายเป็นยุงมารบกวนสมาชิกในครอบครัวการเก็บรักษาลูกน้ำที่ถูกต้องคือ นำภาชนะที่ใช้เก็บลูกน้ำไปตั้งไว้นอกบ้านที่ไม่โดนแดด เติมน้ำลงไปให้ระดับน้ำเสมอขอบปากภาชนะ ใช้มุงลวดกันยุงปิดทับโดยใช้มุงลวดสัมผัสกับผิวน้ำโดยตลอดไม่เหลือที่ว่าง โดยธรรมชาติแล้วลูกน้ำก็กลายเป็นยุงจะอยู่ในน้ำต่อไปอีกไม่ได้
   ไรแดง  มีปัญหาเรื่องการตายเพราะขาดออกซิเจน ปกติไรแดงจะลอยตัวเป็นกลุ่มอยู่ที่ผิวน้ำ ตัวที่ตายแล้วสีจะซีดจนเป็นสีขาวและจมลงสู่ก้นภาชนะ ซึ่งเป็นต้นเหตุให้น้ำเน่าเสียมีกลิ่นเหม็นไรแดงที่ตายจนเน่าแล้วถ้าเอาไปให้ปลากินปลาจะท้องเสีย  เพราะฉะนั้นเวลาเอาไรแดงไปให้ปลากินควรช้อนที่ผิวน้ำเบา ๆ ป้องกันไม่ให้ไรแดงตาย
   ไรน้ำตาล   บางทีเรียกไรทะเลเป็นสัตว์น้ำเค็ม
  ที่มา
http://www.google.co.th

สารคดีปลาทอง




http://www.youtube.com/watch?v=7XdPPA5uOAk

อาหารปลาทอง

อาหารปลาทอง


         อาหารธรรมชาติ ถึงแม้ปลาทองจะเป็นปลาที่กินได้ทั้งพืชและสัตว์เป็นอาหาร (Omnivorous)
แต่ในธรรมชาติชอบกินอาหารพวกลูกน้ำ ไรแดง (Moina) ไรสีน้ำตาล (Artemia) หนอนแดง และ
ไส้เดือนน้ำ      อาหารมีชีวิตเหล่านี้มีคุณค่าทางอาหารสูงทำให้ปลาโตเร็วมีความสมบูรณ์ทางเพศดี
เหมาะสมต่อการเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ปลาทอง โดยให้วันละ 2-3 ครั้ง   อาหารธรรมชาติจะให้ในสภาพ
ที่มีชีวิตหรือตายแล้วก็ได้ หากเป็นอาหารที่ตายแล้วต้องให้ปริมาณที่พอเหมาะ ถ้ามีอาหารเหลือต้อง
รีบดูดทิ้งทันที เนื่องจากอาหารที่เหลือจะทำให้น้ำเน่าเสียและเกิดโรคได้
   
       ปัจจุบันเกษตรกรในจังหวัดนครปฐมและราชบุรีได้เพาะเลี้ยงปลาทองโดยใช้หนอนแมลงวันหรือ
หนอนขี้หมูขาว ซึ่งเกิดในบริเวณเล้าหมู เรียกว่า หนอนขี้หม   ู นำมาเลี้ยงปลาใช้เป็นอาหารปลาทอง
ขนาดอายุ 1-2 เดือนขึ้นไป แต่ในการเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ปลาควรระวังอย่าให้กินหนอนขี้หมูมาก เพราะ
จะทำให้ปลาอ้วนเกินไปซึ่งมีผลทำให้ปริมาณไข่ที่ออกน้อย
     ข้อควรระวัง ก่อนนำหนอนขี้หมูมาเป็นอาหารจะต้องนำมาล้างน้ำให้สะอาดและแช่ด่างทับทิมใน
อัตราส่วน 2-3 กรัม/น้ำ 1,000 ลิตร หรือต้มเพื่อป้องกันเชื้อโรค

 ผลดีของอาหารมีชีวิต


+ สัตว์น้ำจะมีเอนไซม์ช่วยย่อย ซึ่งสัตว์น้ำสามารถย่อยและกินได้ตลอดเวลา
+ อาหารมีชีวิตมีองค์ประกอบของกรดอะมิโนอิสระที่สำคัญ ซึ่งจะช่วยให้เกิดความเจริญเติบโต
+ มีสารสีต่าง ๆ (Pigment) ตามธรรมชาติ ช่วยในการป้องกันและสร้างภูมิต้านทานโรคซึ่งปลา
ไม่สามารถสังเคราะห์เองตามธรรมชาติ
+ มีราคาต่ำเมื่อเทียบกับอาหารเม็ดสำเร็จรูป
 อาหารสำเร็จรูป ได้แก่ อาหารเม็ดขนาดเล็กเป็นอาหารที่เหมาะสำหรับการเลี้ยงปลาทอง   และ
ควรเลือกอาหารที่มีเปอร์เซ็นต์โปรตีนสูงจะทำให้ปลาเจริญเติบโตดีและมีสีสันสวยงามโดยทั่วไป
ส่วนประกอบของอาหารสำเร็จรูปควรประกอบด้วย โปรตีน 40% คาร์โบไฮเดรต 44%   ไขมัน
10% วิตามินและแร่ธาตุ 6%
      ส่วนประกอบของอาหารที่มีปริมาณโปรตีนต่ำจะทำให้ปลาโตช้าหรือชะงักการเจริญเติบโต
และมีความสมบูรณ์ทางเพศน้อยหรือถ้าอาหารมีปริมาณโปรตีนมากเกินไป ปลาก็จะขับถ่ายของเสีย
ออกมามากทำให้น้ำมีปริมาณแอมโมเนียสูงซึ่งเป็นพิษต่อปลา
   : ลูกปลาขนาดเล็ก (ต่ำกว่า 1 นิ้ว) มีความต้องการโปรตีน ประมาณ 60 - 80% เพื่อการเจริญเติบโต
   : ปลาวัยรุ่นจะมีความต้องการโปรตีนประมาณ 40 - 60% เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ทางเพศทำให้
     ไข่พัฒนา
   : ปลาเต็มวัยจะมีความต้องการโปรตีนประมาณ 30 - 40%

     การให้อาหาร ควรให้วันละ 3 -5 % ของน้ำหนักปลา เช่น ปลาทั้งหมด น้ำหนัก 500 กรัม จะให้
อาหารเม็ดวันละ 15 - 25 กรัม โดยแบ่งให้เช้าเย็นหรือจะใช้อาหารผสมแทน โดยใช้อาหารที่มีส่วน
ผสมของปลาป่น รำละเอียด กากถั่วป่น วิตามินและแร่ธาตุซึ่งกำหนดให้มีปริมาณโปรตีนไม่ต่ำกว่า40%
อาหารสำเร็จรูปมีข้อดีกว่าอาหารธรรมชาติหลายประการได้แก่ สามารถควบคุมคุณภาพให้เป็นไป
ตามมาตรฐาน ความสม่ำเสมอและความคงทนในขณะที่ละลายน้ำ แต่อาหารสำเร็จรูปจะทำให้น้ำ
เสียง่าย ขนาดของอาหารสำเร็จรูปสามารถปรับให้เข้ากับการเจริญเติบโตของลูกปลา    เมื่อปลามี
ขนาดใหญ่สามารถ ปรับขนาดได้ ขนาด วัสดุอาหารและกลิ่นของอาหารเป็นปัจจัยสำคัญในการทำ
อาหาร

 วิธีการให้อาหารสำเร็จรูปมีข้อควรพิจารณาในการให้อาหาร ดังนี้
+ ปริมาณอาหารที่ให้ ไม่มากเกินไป ปลาควรกินหมดภายใน 15 นาที
+ ความถี่ หลักการให้อาหารควรจะให้ปริมาณน้อยแต่บ่อยครั้งทั้งนี้ควรให้วันละ 2 -3 ครั้งถ้า
เลี้ยงด้วยอาหารสำเร็จรูปควรมีการเสริมอาหารมีชีวิต
+ การยอมรับอาหาร บางครั้งพบว่า ปลาไม่ยอมรับอาหารที่ไม่เคยกินมาก่อน จึงจำเป็นต้องฝึกให้กิน
โดยอาจต้องให้ปลาอดอาหาร 1 - 2 วัน และลองให้กินอาหารใหม่อีกครั้ง แล้วสังเกตว่าปลายอมกิน
อาหารหรือไม่
+ การเลือกชนิดและปริมาณของอาหาร ควรต้องคำนึงถึงระบบการเปลี่ยนถ่ายน้ำในบ่อเลี้ยง
+ อาหารเร่งสี สีของตัวปลาเกิดจากการทำงานของเซลล์ผิวหนังซึ่งมีเม็ดสีอยู่ภายใน เม็ดสีที่อยู่ใน
ชั้นของผิวหนังสีแดงหรือสีเหลืองของปลาทองเป็นสีของคาร์โรทินอยล์ชนิดแอสทาแซนธิน
(Astaxanthin) คือถ้าในเซลล์ผิวหนังมีคาร์โรทินอยล์มากเท่าไร ย่อมทำให้ปลามีสีสดขึ้น
   
         ดังนั้นในปัจจุบันจะมีการใช้สารเร่งสี (แอสทาแซนธิน) ให้ปลากินเพื่อให้ปลามีลำตัวสีแดง และ
มีการใช้สไปรูไรน่า (Spirulina) ผสมกับอาหารเลี้ยงปลาเพื่อเพิ่มความเข้มของสีแดง ส้ม หรือสี
เหลือง ในตัวปลา ปกติอาหารสำเร็จรูปส่วนมากจะมีสไปรูไรน่าผสมอยู่ในอัตราส่วนไม่เกิน 10%
อาหารที่ผสมสารเร่งสีจะใช้เลี้ยงปลาที่มีอายุประมาณ 3 สัปดาห์ โดยให้กินในมื้อเช้า ส่วนมื้อเย็น
จะให้กินอาหารมีชีวิต      ในกรณีที่เลี้ยงปลาทองในบริเวณที่มีแสงแดดเพียงพอไม่จำเป็นต้องให้
อาหารเร่งสี

ที่มา : http://www.nicaonline.com/goldfish006.html

ชนิดปลาทอง


ปลาทอง GoldFishปลาทอง ชือวิทยาศาสตร์ Carassius auratus เป็นปลาที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีนและญี่ปุ่น ต่อมาถูกนำไปเลี้ยงในยุโรปเมื่อศตวรรษที่17และถูกนำไปเผยแพร่ ในอเริกาในศตวรรษที่ 19 ชาวจีน และชาวญี่ปุ่นนับเป็นชนชาติแรก ที่รู้จักวิธีการผสมพันธุ์ปลาทอง แต่ละสายพันธุ์ยังถูกแยกออกไปอีก เป็น อีกหลายพันธุ์ ตามสี ตามลักษณะหาง หัว ซึ่งปัจจุบัน ถูกผสมข้ามสายพันธุ์ มีลักษณะแตกต่างกันออกไป
ทองออแรนดา (Oranda goldfish)ทองออแรนดา (Oranda goldfish) แหล่งกำเนิด ประเทศจีน ปลาทองออแรนดาเป็นปลาที่มีช่วงลำตัวยาว ครีบทุกครีบยาว โดยเฉพาะครีบหาง เป็นครีบที่ยาว เป็นพวง สวยงาม บริเวณหัวอาจจะมีวุ้นหรือไม่มีก็ได้ เป็นปลาที่สามารถเจริญเติบโต มีขนาดใหญ่กว่าปลาทอง ชนิดอื่น ปลาชนิดนี้เลี้ยงง่ายเป็นที่รู้จักกันทั่วไป กินอาหารจำพวกลูกน้ำ,ไร, อาหารเม็ด สามารถเลี้ยง รวมกันกับปลาทองชนิดอื่นได้
ทองเกล็ดแก้ว (Pearl scale GoldFish)ทองเกล็ดแก้ว (Pearl scale GoldFish) แหล่งกำเนิด ประเทศจีนปลาทองเกล็ดแก้วมีลักษณะเด่นที่มีลำตัว สั้นป้อม ส่วนมากจะกลม เกล็ดจะหนานูนขึ้น แตกต่างจาก ปลาทองพันธุ์อื่น ๆ ตรงส่วนหัวอาจจะมี หรือ ไม่มีวุ้น ก็ได้ ปลาทองชนิดนี้เป็นปลาที่ต้องการ การเอาใจใส่ เป็นพิเศษ เพราะเป็นปลาที่ค่อนข้าง จะบอบบาง กินอาหารง่าย ไม่ควรเลี้ยงรวมกับปลาชนิดอื่น
ทองหัวสิงห์ (Lion head goldfish)
ทองหัวสิงห์ (Lion head goldfish) แหล่งกำเนิด ประเทศจีนปลาทองหัวสิงห์เป็นปลาทองชนิดที่ ได้รับความนิยมมากในหมู่ผู้เลี้ยงปลา เพราะมีลักษณะที่น่ารัก ลำตัวกลม ไม่มีครีบหลัง มีอยู่ 2 สายพันธ์ คือ สิงห์จีน และสิงห์ญี่ปุ่น ความแตกต่างสิงห์จีนจะหัวใหญ่ มีวุ้นหนา ลำตัวยาว ส่วนสิงห์ญี่ปุ่นจะมีส่วนหัว ที่เล็กกว่า ส่วนใหญ่ไม่มีวุ้น ลำตัวสั้น หลังจะโค้งมน หางสั้น และเชิดขึ้น ดูสง่างาม ปลาทองหัวสิงห์ เป็นปลาที่เลี้ยงง่าย กินลูกน้ำ ไรแดง ไข่ การเลี้ยงปลาชนิดนี้ ให้ได้ดี ควรเลี้ยงในอ่างตื่นๆ ลึกไม่เกิน 8 นิ้ว
ริวกิ้น (Veiltail goldfish)ริวกิ้น (Veiltail goldfish) ปลาทองริสกิ้นเป็นปลาที่ได้รับความนิยมจากผู้ที่เลี้ยงปลา เนื่องจาก มีรูปทรง ที่สวยงาม ลำตัวป้อมสั้น ท้องใหญ่ หางยาวเป็นพวง ส่วนหัวสูงลำตัวเป็นสีส้ม หรือส้มแดงปนขาว เวลาว่ายน้ำจะเป็นท่วงท่า ที่ สง่างาม ปลาชนิดนี้มีทั้งที่สั่งมาจากประเทศญี่ปุ่น และเพาะพันธุ์ขึ้นเอง ในประเทศไทย ตู้ที่เลี้ยงปลา ชนิด นี้ ต้องเป็นตู้ที่มีน้ำใสสะอาด ไม่ควรให้เย็นเกินไป ปลาชนิดนี้ ชอบกินอาหารพวกลูกน้ำ,อาหารสำเร็จรูป
ชูบุงกิง (Shubunkin goldfish)ชูบุงกิง (Shubunkin goldfish) ปลาทองชุงบุงกิง หรือตลาดค้าปลาสวยงามเรียกว่า ชูบานกิ้น เป็นปลาทองที่มีลักษณะเด่น ที่มีครีบหาง เดี่ยว แยกเป็นสองแฉก ลำตัวเรียวยาว ลำตัวส่วนมากมีสีส้ม ส้มแดง แดงขาว อาจจะมีสีดำประบ้าง ปลาทอง ชนิดนี้เลี้ยงง่าย เป็นปลาที่มีความทนทานมาก กินอาหาร เก่ง กินได้แทบทุกประเภท ปลาทองชนิดนี้ จึงเป็นที่นิยมเลี้ยงกันอีกชนิดหนึ่ง เป็นปลาที่กินอาหารง่าย ชอบพวก ลูกน้ำ ไร และอาหารสำเร็จรูป
ทองเล่ห์ หรือ ลักเล่ห์ (speckled goldfish)ทองเล่ห์ หรือ ลักเล่ห์ (speckled goldfish) แหล่งกำเนิด ประเทศจีนปลาทองเล่ห์เป็นปลาที่มีลักษณะ เด่นที่มีลำตัวเป็นสีดำสนิทแม้กระทั้งครีบทุกครีบ ปลาชนิดนี้นับว่า เป็นที่ นิยมเลี้ยงกันพอสมควร เป็น ปลาที่มีตาโปนออกมา ครีบหางบานใหญ่ บางชนิดมีชื่อเรียกว่า เลห์ตุ๊กตา หรือ เล่ห์หางผีเสื้อ เนื่องจาก ครีบหางที่แผ่คล้ายกับผีเสื้อ จัดว่าเป็นปลาที่ว่ายน้ำได้สวยงาม น่ารัก เป็นปลาที่เลี้ยง ง่าย ชอบอาหาร พวกลูกน้ำ ไรแดง หนอนแดง และอาหารสำเร็จรูป สามารถเลี้ยงรวมกับปลาชนิดอื่นได้
ทองตาลูกโป่ง ( Buble eye gold fish)ทองตาลูกโป่ง ( Buble eye gold fish) แหล่งกำเนิด ประเทศจีนปลาทองตาลูกโป่งเป็นปลาที่มีลักษณะเด่น เป็นที่สังเกตได้ง่ายตรงที่มีตาใหญ่คล้ายลูกโป่ง ทำให้ปลา ชนิดนี้เป็นที่รู้จักกันดี ปลาชนิดนี้ปกติจะไม่มี ครีบหลัง การที่มีตาขนาดใหญ่ทำให้ว่ายน้ำได้เชื่องช้า คนส่วนใหญ่ชอบซื้อปลาที่มีขนาดตาทั้ง 2 ข้าง เสมอกัน การเลี้ยงปลาชนิดนี้ต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษ เพราะเป็นปลาที่ค่อนข้างจะบอบบางมีจุดอ่อนที่ตา ไม่ควรเลี้ยงรวมกับปลาดุร้ายอื่น ๆ กินลูกน้ำ ไร และอาหารสำเร็จรูป

วิธีการเพาะขยายพันธุ์ การเพาะพันธ์ปลาทองควรจัดภาชนะที่ใช้เพาะปลาโดยเฉพาะซึ่งมีเนื้อที่อย่างน้อย 1 ตารางเมตร และลึก 20 เซนติเมตร บ่อเพาะควรล้าง และทำความสะอาดอย่างดี ไม่มีศัตรูของปลา เช่น ปลาเล็กๆหรือหอย ฯลฯ ไข่ปลาทอง เป็นไข่ ประเภทไข่ติด ดังนั้นการเพาะพันธ์ควรใช้สาหร่าย หรือเชือกฟางพลาสติกเป็นวัสดุที่ให้ไข่เกาะ
อัตราการเพาะพันธ์ควรใช้ปลาตัวเมีย 1 ตัว ต่อตัวผู้ 2 ตัว เพราะไข่ปลาตัวเมียมีปริมาณมาก การใช้ปลาตัวผู้มากกว่าตัวเมีย จะทำให้อัตราการผสมของไข่ดีขึ้น เวลาที่ปลาลงบ่อเพาะควรเป็นเวลาเย็น เพื่อให้ปลาผสมพันธ์วางไข่ในเช้ารุ่งขึ้น ไม่ต้อง ให้อาหารปลาในขณะเพาะพันธ์ และควรให้ออกซิเจนหรือปั๊มอากาศในกรณีที่ไม่แน่ใจว่าจะมีออกซิเจนในน้ำเพียงพอ
หลังจากที่ปลาวางใข่แล้วให้ย้ายพ่อแม่ปลาออก แล้วย้ายไข่ไปฟักในภาชนะที่มีน้ำคุณภาพดี ส่วนน้ำในบ่อเพาะควรเปลี่ยน และดูดตะกอน เพราะยังมีไข่ผสมแล้ว ร่วงอยู่ที่พื้นจำนวนมาก ไข่ปลาทองมีสีเหลืองโปร่งแสง เวลาฟักเป็นตัวเวลา 2 วัน ในอุณหภูมิ 25-28 องศาเซลเซียส ลูกปลาวัยอ่อนจะใช้อาหารจากถุง ไข่แดงที่ติดตัวประมาณ 1-2 วัน หลังจากนั้น จะเริ่ม กินอาหารขนาดเล็กๆ เช่น ไรน้ำ ลูกปลาที่ได้รับการดูแลอย่างดีมีขนาด 1-2 นิ้ว ในเวลา 2 เดือน การเพาะพันธ์ปลาทอง ควรใช้ปลาพันธ์เดียวกันเป็นพ่อแม่พันธ์ แม้ว่าปลาทุก ๆ พันธ์จะสามารถผสมกันได้ แต่ก็จะได้ลูกปลาที่มีลักษณะแปลก ๆ ไม่สวยงามตามที่นักเลี้ยงปลานิยม แต่หากท่านอยากจะทดลองเพาะดูเพื่อศึกษาเองก็ไม่ผิดกติกาอันใด
 
รักเล่ห์ 5 สีรักเล่ห์แพนด้า
รักเล่ห์รันชูสิงห์ดำตามิด

การออกแบบห้องนอน