วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555

ปลาทอง กับ 20 คำถามยอดฮิตตลอดกาล





นัก เลี้ยงปลาทอง ส่วนใหญ่เริ่มต้นเลี้ยงปลาพร้อมกับคำถามมากมายคำตอบส่วนหนึ่งนั้นได้มาจาก ประสบการณ์ที่ได้ลองผิดลองถูกด้วยตนเองแต่อีกหลายส่วนต้องแสวงหาจากแหล่ง ข้อมูลที่เชื่อถือได้

จะเลี้ยงปลาทองให้สวยได้นั้นรากฐานสำคัญคือการเลี้ยงปลาให้มีความสมบูรณ์และ มีสุขภาพแข็งแรงปลาจึงจะแสดงศักยภาพและเปล่งประกายความสวยงามออกมาได้อย่าง เต็มที่ไม่เฉพาะปลาทองเท่านั้น ปลาสวยงามชนิดอื่นๆก็เช่นกัน


บทความนี้ได้รวมคำถามยอดฮิตที่บรรดาผู้เลี้ยง ปลา ทองมักจะถามกันอยู่เสมอโดยมุ่งให้ความรู้ในด้านการดูแลปลาในเบื้องต้นที่ผู้ เลี้ยงปลามือใหม่หลายคนอาจละเลยหรือแม้กระทั่งผู้เลี้ยงปลาที่มีประสบการณ์ ก็ตาม



1.ถาม ทำไมใส่น้ำลงไปในตู้ใหม่แล้วน้ำไม่ใส
   ตอบส่วนใหญ่สาเหตุที่น้ำในตู้ปลาขุ่น เพราะระบบกรองยังไม่สมบูรณ์เต็มที่
การย่อยสลายของเสียยังช้าอยู่ ของเสียที่เหลือในปริมาณมากเหล่านั้นก็จะทำให้เกิดภาวะแบคทีเรียบลูม (bacterialbloom )
ขึ้นในตู้แม้ไม่มีพิษภัยอะไร แต่น้ำที่ขุ่นก็ทำให้ดูไม่สบายตาและอีกกรณีหนึ่งคือวัสดุกรองเองยังใหม่ ซึ่งทำให้ละลายลงสู่น้ำได้ เช่น หินพิมมัสมีมีตะกอนขาวๆ ทั้งสองสาเหตุที่กล่าวมานี้ ใช้การถ่ายน้ำ 10-20
% ทุกวันก็พอช่วยได้ครับการรันระบบกรองให้นานซักระยะหนึ่ง รอให้แบคทีเรียมายึดเกาะที่พื้นผิววัสดุกรองให้มากพอเสียก่อนการละลายของ วัสดุกรองก็จะหยุดลงไปเอง

ขอแถมอีกนิดในเรื่องของกระแสน้ำจากกรองที่พ่นเข้ามาในตู้โดยเฉพาะกรอง ข้างกระแสน้ำที่พ่นเข้ามาแรงๆจะมีผลต่อปลาแน่นอนครับเพราะปลาทองเป็นปลาที่ ว่ายน้ำช้า ครีบยาว
เมื่อเจอน้ำแรงๆปลาจะเหนื่อย เครียด ครีบพับ ไม่สวยงามทางที่ดีควรปรับให้น้ำที่ไหลจากกรองเข้าสู่ตู้ให้ไหลช้าๆเอื่อยๆ หรือไม่ก็หักเหกระแสน้ำไม่ให้กระทบกับตัวปลาโดยตรงจะดีกว่า


2.ถาม ในการเปลี่ยนถ่ายน้ำแต่ละครั้งควรเปลี่ยนในปริมาณเท่าไรดี
   ตอบในการเปลี่ยนถ่ายน้ำที่เลี้ยงปลาทอง ในแต่ละครั้งไม่ควรเกิน 30-50% ต่อสัปดาห์ แต่ถ้าหากเป็นการเปลี่ยนน้ำทุกวันก็ไม่ควรเกิน 10% เนื่องจากการเปลี่ยนน้ำที่มากเกินไปปลาจะเครียดและป่วยได้ง่าย ควรเน้นระบบกรองที่มีประสิทธิภาพจะดีกว่าแต่ถ้าหากเป็นช่วงหน้าหนาว อากาศเย็น ควรยืดระยะเวลาในการถ่ายน้ำออกไปเพราะในช่วงนี้ปลาจะกินอาหารน้อยลงอยู่แล้ว เมื่อกินอาหารน้อยลงการขับถ่ายของเสียก็น้อยลงตามไปด้วย ส่วนในหน้าร้อน ปลาจะมีอัตราการเผาผลาญพลังงานที่สูงกินอาหารได้มาก ขับถ่ายของเสียออกมาเยอะก็ควรมีการเปลี่ยนถ่ายน้ำอย่างสม่ำเสมอ
เทคนิคในการเปลี่ยนถ่ายน้ำปลาทองประกวดที่ต้องการขุนปลาให้โตเร็วมักจะใช้กันก็คือการ Flow น้ำเข้าไปในอ่างแล้วล้นน้ำทิ้งในระหว่างที่ปลากินอาหารเพื่อถ่ายเทของเสีย อย่างแอมโมเนีย ไนไตรท์ และไนเตรทออกไป และเป็นการกระตุ้นให้ปลามีความอยากกินอาหารทางอ้อมอีกด้วย


3. ถาม เลี้ยงปลาทองต้องใส่หินรองพื้นหรือเปล่า
    ตอบ  สาเหตุ ที่ผู้เลี้ยงปลาตู้ไม่เฉพาะปลาทองไม่นิยมใส่หินหรือกรวดในตู้เลี้ยงตู้โล่งๆ เลย ก็เพราะว่าต้องการเห็นตัวปลาชัดๆและเพื่อให้ทำความสะอาดง่ายส่วนการเลี้ยง ปลาทองนั้น จะใส่หินก็ได้แต่ก็ต้องเพิ่มความเอาใจใส่ดูแลทำความสะอาดหินเหล่านั้นด้วย เพราะปลาทองเป็นปลาที่ขับถ่ายของเสียออกมาเยอะจะได้ไม่เกิดการหมักหมมจากเศษ อาหารและของเสียใต้หินกรวดเหล่านั้น อีกอย่างก็คือต้องไม่ใส่หินที่มีคม เพราะอาจะเป็นอันตรายกับปลาได้


4.ถาม  เปลี่ยนน้ำทุกครั้งจำเป็นต้องใส่เกลือไหม
   ตอบ โดยปกติแล้วไม่จำเป็นเลยแต่ถ้าหากเป็นปลาใหม่หรือปลากำลังเครียด ก็จำเป็นครับ ส่วนน้ำที่สะอาดมาก เช่นน้ำดื่ม น้ำกรอง ก็ต้องใส่เกลือด้วยเช่นกัน นอกนั้นจะใส่หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับสภาพน้ำในการเลี้ยงแต่ต้องระวังไว้เรื่อง หนึ่งก็คือ เกลือที่จะใส่ลงไปจะไม่ระเหยไปไหนการใส่เกลือลงไปมากๆจนเกิดการสะสมในอ่าง หรือตู้มากๆเข้าก็จะทำให้แบคทีเรียที่มีประโยชน์ที่อาศัยอยู่ในระบบกรองตาย ประสิทธิภาพในการบำบัดน้ำก็ลดลง ในที่สุดระบบกรองก็ล่ม ถ้าเคยใส่เกลือแล้วถ่ายน้ำไป 30% เกลือก็หายไปจากครั้งแรกแค่ 30%เท่านั้นไม่ได้หายไปหมด เมื่อเติมน้ำใหม่ก็ให้ใส่แค่ 30%ก็พอแล้ว แต่ถ้าเป็นการนำปลามาแช่ในเกลือเข้มข้น อย่างที่หลายคนทำกันโยมีความเข้าใจว่าจะช่วยฆ่าเชื้อโรคและทำให้ปลามีผิว พรรณดี เกล็ดสวย ตรงนี้ไม่แนะนำเพราะการแช่ปลาในเกลือที่มีค่าความเค็มมากกว่า 20 pptขึ้นไปจะเป็นอันตรายกับปลา ความเค็มของน้ำเกลือเข้มข้นจะทำลายเซลล์ผิวของปลาทำให้ปลาสูญเสียเมือก ซึ่งเป็นเกราะช่วยป้องกันโรค เส้นเลือดฝอยเล็กๆที่อยู่ในเหงือกปลาจะฉีกขาดและมีเลือดซึม ประสิทธิภาพในการแลกเปลี่ยนออกซิเจนของเหงือกลดลงส่งผลต่อประสิทธิภาพในการ หายใจของปลาลดลงตามไปด้วย
มี คำถามตามมาอีกว่าถ้าอย่างนั้น เรามีความจำเป็นต้องใส่เกลือเมื่อไร ตอบว่าเราอาจใช้เกลือในการรักษาปลาที่มีบาดแผลบริเวณลำตัวเพราะการใช้เกลือ รักษาบาดแผลที่ไม่ลุกลามมากจะได้ผลดีเทียบเท่ากับการใช้ยาหรือสารเคมีเลยที เดียวเช่นการตกเลือดที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียหรือการติดเชื้อโป รโตชัวร์บริเวณบาดแผลสามารถรักษาได้โดยแช่ปลาในน้ำเกลือที่มีค่าความเค็ม ประมาณ 3-5 ppt
( 1 ppt = เกลือ 3-5 กก./ น้ำ 1 ตัน หรือ เกลือ 3-5 ขีด /
น้ำ 100 ลิตร ) จนกว่าแผลจะหาย และเกลือยังช่วยยับยั้งเชื้อแบคทีเรียและโปรโตชัวบางชนิดได้ บาดแผลก็จะไม่ลุกลาม แต่การใส่เกลือจนน้ำมีความเค็มต่ำกว่า 3
pptยังไม่มีหลักฐานทางวิชาการอ้างอิงว่าจะเป็นประโยชน์หรือโทษต่อปลาครับ ยฆ่าเชื้อโรค และทำให้ปลามีผิวพรรณดี เกร็ดสวยตรงนี้ไม่แนะนำ เพราะการแช่ปลาในเกลือที่มีค่าความเค็มมากก


5. ถามเปลี่ยนน้ำบ่อยๆจะทำให้ระบบกรองชีวภาพล่มหรือปล่าว
    ตอบ ไม่เสมอไปครับถ้าเปลี่ยนถ่ายน้ำในปริมาณไม่มากเกินไปปกติไม่ควรเกิน 30 %ต่อสัปดาห์ แบบนี้จะไม่มีผลกระทบต่อระบบกรองชีวภาพเลย แต่ถ้าหากถ่ายน้ำทุกวันอาจจะทำให้ระบบกรองเข้าที่ (ทำงานเต็มประสิทธิ์ภาพ) ช้าลงระบบกรองชีวภาพเองก็เป็นกลุ่มก้อนของสิ่งแวดล้อมที่เรียกว่า แบคทีเรียต้องการของเสียจากปลามาเป็นอาหาร เราถ่ายน้ำออกไปหมดหรือถ่ายออกไปทุกวันอาหารของแบคทีเรียก็เหลือน้อยลง แบคทีเรียก็ไม่เจริญเติบโต แต่ไม่ถึงกับตายหมด(ระบบกรองล่ม) เหตุที่ระบบกรองล่มส่วนใหญ่มาจากสารเคมี คลอรีนในน้ำประปาการใส่เกลือมากไปหรือมีของเสียอุดตันสะสนในกรอง


6. ถาม จำนวนปลาที่เลี้ยงควรมีความหนาแน่นเท่าไร
    ตอบ ปลาทองเป็นปลาที่ขับของเสียเยอะ ปกติแล้วปลาไซซ์1.5-3 นิ้วควรเลี้ยงที่1ตัวต่อน้ำ
30-40 ลิตรครับ เผื่อให้ปลาโตด้วยแต่ถ้าหากเป็นอ่างสำหรับขุนปลาหรือเลี้ยงลูกปลาก็เป็นอีก ประเด็น ในการขุนปลาโตเร็วยิ่งความหนาแน่นน้อยเท่าไรปลาก็โตเร็วเท่านั้น นักเลี้ยงปลาระดับประกวดบางคนมักจะเลี้ยงปลาในจำนวนน้อยตัวในพื้นกว้างๆ ยิ่งน้อยเท่าไรยิ่งดีความหนาแน่นของการเลี้ยงนั้นจะขึ้นอยู่กับขนาดของปลา อีกด้วย
อย่างเช่น ตู้ขนาด 36 นิ้ว เลี้ยง 2 ตัว,ตู้หนาด48หรือ60 นิ้วอาจจะเลี้ยงเพียงแค่4 ตัวถ้าเป็นการเลี้ยงในอ่างชนาด 90x90x25 cm ,110x90x25cm ,120x100x50 cm ,เลี้ยงประมาณ 2-3 ตัว ,อ่างขนาด 140x110x25 cm 160x120x35 com 160x130x40 cm อาจจะเลี้ยงได้ถึง 4-5 ตัว ครับ
หมายเหตุสูตรการคำนวณหาปริมาตรน้ำในตู้ปลา กว้างxยาวxสูง(หน่วย เป็นเซนติเมตร)นำผลลัพธ์ที่ได้ไปหารด้วย 1,000 ผลลัพธ์ที่ออกมาจะเท่ากับปริมาตรน้ำในตู้ปลา หรืออีกสูตรหนึ่งก็คือ กว้างxยาวxสูง (หน่วยเป็นนิ้ว)นำผลลัพธ์ที่ได้ไปคูณด้วยo.o16 ผลลัพธ์ที่ออกมาจะเท่ากับปริมาตรน้ำในตู้ปลาเช่นกัน



7. ถาม ปลาทองหัวทิ่มว่ายน้ำเสียศูนย์หรืออยู่ดีๆก็ลอยเท้งเต้งตีลังกากลับหัวใน ระดับผิวน้ำไม่ทราบว่าเกิดจากสาเหตุอะไรและวิธีแก้ไขอย่างไร
    สาเหตุหลักๆที่พบเห็นได้บ่อยที่สุด มีอยู่ 3 สาเหตุคือ
   1. เกิดจากถุงลมมีรูปร่างผิดไปจากธรรมชาติเนื่องจากลำไส้เคลื่อนตัวไม่ปกตินั่น เป็นเพราะอาหารที่ให้โดยมากนักเป็นอาหารที่มีเส้นใยอาหารต่ำ โปรตีนสูงลำไส้ปลากินพืชอย่างปลาทองจึงทำงานหนักและเคลื่อนตัวได้ไม่ดีนัก
   2. เกิดจากถุงลมมีปัญหา ปลาทองเป็นปลาที่กินอาหารอยู่ตลอดทั้งวันผู้เลี้ยงบางคนเห็นปลามีความอยาก กินอาหารอยู่ตลอดเวลาก็นึกว่าปลาหิวก็ให้อาหารลงไปอย่างไม่บันยะบันยัง ปลากินมากเกินไป อาหารไม่ย่อยก็เกิดการหมักหมมจนกลายเป็นก๊าซสะสมอยู่ภายใน

   3. เกิดจากอาการไตวาย ไม่ว่าจะเกิดจากเกลือที่มีในอาหารจากเกลือที่ใส่ลงในน้ำมากเกินไป และจากปริมาณโปรตีนในอาหารที่มีมากเกินไปด้วยทางแก้ไขทั้ง 3 สาเหตุที่กล่าวมาแล้วนั้น แก้ไขได้ยาก เพราะเรื่องดังกล่าวแม้ในสัตว์ขนาดใหญ่หรือว่าในคนเองรักษาได้ยากมากมีค่า ใช่จ่ายในการรักษาสูงหากปลามีอาการลอยตัวหรือทรงตัวไม่ได้อาจจะต้องประคอง ให้ปลาจมอยู่ใต้น้ำหรือลำตัวตั้งตรงตลอดเวลาโดยวัสดุที่ใช้ประคองจะต้องไม่ แข็งกระด้าง แนวทางป้องกันที่ดีคือเสริมอาหารที่มีวิตามินสูงโดยเฉพาะวิตามิน CหรือB-complexให้อาหารที่มีกากใยสูงบ้าง เช่น พวกพืชน้ำ สาหร่ายลดปริมาณการใช้อาหารที่มีโปรตีนสูงๆ หรือมีเกลือปริมาณมากอย่างต่อเนื่อง เช่นไรทะเลอาหารเม็ดบางชนิด เต้าหู้ไข่ เป็นต้น
ใน กรณีที่ลำตัวปลาโผล่พ้นผิวน้ำเป็นเวลานานจนผิวบริเวณผิวที่โผล่พ้นน้ำเกิด แห้ง ติดเชื้อมีลักษณะเป็นจ้ำสีแดงๆควรแช่ด้วยยานอร์ฟลอกซาซิน 30 มก./ลิตร เปลี่ยนน้ำและยา 30% ทุกๆสองวัน




8. ถาม ปลาทองเลี้ยงรวมกับปลาอื่นได้หรือไม่
    ตอบ ได้ครับ แต่ไม่ควรเลี้ยงยังมีปลาอีกหลายชนิดที่เลี้ยงร่วมกับปลาทองได้ อย่างที่หาง่ายๆ เช่นพวกปลาแพะ เป็นต้นแต่ปลาส่วยใหญ่ถ้าเลี้ยงกับปลาทอง มักจะรบกวนปลาทองเสียมากกว่าปลาขนาดเล็กที่คนส่วนใหญ่เห็นว่าไม่มีภัย เช่น ปลาสอด ปลาหางนกยูงหรือที่ร้านปลาหลายร้านมักแนะนำปลากินเศษอาหารอย่างปลาซัคเกอร์ ปลาเหล่านี้ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะเลี้ยงรวมกับปลาทองทางที่ดีเลี้ยงเฉพาะปลา ทองอย่างเดียวดีที่สุด


  

9.ถาม ตะไคร่น้ำที่ขึ้นในอ่างหรือตู้ทีข้อดีข้อเสียอย่างไร
   ตอบ อันดับแรก ขอบอกถึงความหมายของตะไคร่น้ำเสียก่อนตะไคร่น้ำก็คือสาหร่ายต่างๆ หลายชนิดที่อยู่ในน้ำ ไม่จำเพาะว่าเป็นชนิดใดลักษณะใด แต่ที่สำคัญคือต้องเป็นพวกยึดเกาะบนวัตถุใต้น้ำ ไม่ได้หมายถึงพวกที่ที่ล่องลอยในน้ำหรือเป็นพวกสาหร่ายเซลล์ เดียวอย่างพวกน้ำเขียว (สาหร่ายเซลล์เดียวจำพวก คลอเรลล่าเป็นต้น) ตะไคร่ส่วนใหญ่ไม่มีพิษ และกินปลาได้ หากเกิดขึ้นในบ่อก็จะช่วยกำจัดแอมโมเนีย ไนไตร์ท ไนเตรท ออกไปจากตู้ปลาหรือบ่อเลี้ยง ช่วยสร้างออกซิเจนในยามที่แสงส่องถึงและไม่จำเป็นต้องเป็นแสงแดด ปลากินไปก็ได้รับวิตามินที่หลากหลายและในสภาวะที่เหมาะสมจนตะไคร่เหล่านี้ เติบโตได้ดี เกาะพื้นเยอะที่เรามักเห็นตามก้นบ่อ ขอบบ่อ ที่เป็นสีเขียวๆ ดำๆ ตะไคร่เหล่านี้จะช่วยใช่ปุ้ย(ไนเตรท)และกำจัดคาร์บอนไดออกไซด์ จากน้ำ ทำให้น้ำใสขึ้น(แก้ปัญหาน้ำเขียว)แต่ถ้าสภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไปซึ่งส่วน ใหญ่ก็มาจากวิธีเลี้ยงปลาของแต่ละท่านโดยเฉพาะการใช้ยาหรือสารเคมีที่ไม่ถูก ต้อง และในบางโอกาสก็ขึ้นอยู่กับฤดูกาลแต่ถ้าหากตะไคร่น้ำเหล่านี้ตายลง หลุดลอย น้ำเน่าแน่นอนครับ



10. ถาม อ่างปูนหรืออ่างไฟเบอร์ดีกว่ากันและมีข้อดีข้อเสียอย่างไร
      ตอบ 

ข้อนี้ผมขอตอบเป็นตารางนะครับ จะได้เห็นกันชัดๆไปเลย

หัวข้อ
  

อ่างปูน
  

อ่างไฟเบอร์
  

เหตุมล
  

1.น้ำหนัก
  

หนักถึงหนักมาก
  

เบาถึงหนักปานกลาง
  

ไม่ต้องอธิบายปูนหนักอย่างไรใครๆก็รู้
  

2.ราคา
  

ถูก
  

แพงกว่ามาก
  

การผลิตอ่างไฟเบอร์จะต้องทำโมเดลขึ้นรูปก่อนจึงมีต้นทุนส่วนนี้และเรซื่นไฟเบอร์  มีราคาสูงกว่า ปูน หิน ดิน ทราย
  

3.การติดตั้ง
  

ยากกว่า
  

ง่าย
  

อ่างปูนขนาดใหญ่มักต้องก่อแบบ
ณ ที่ตั้ง  แต่อ่างไฟเบอร์ใหญ่ขนาดไหนก็ใส้รถได้
  

4.ความทนทาน
  

ขึ้นอยู่กับการผลิตและการใช้งาน
  

ผู้ ผลิตแต่ละคนมักบอกว่าตนดีกว่า  แต่ในความเป็นจริงแล้วพอกัน อ่างปูนวางไม่ได้ระดับก็แตก กระแทกแรงๆก็แตก  ปูนไม่เต็มก็รั่ว ไฟเบอร์ก็เช่นกันใยแก้วไม่เสมอก็ร้าวรั่ว ตากแดดมากก็แตกร้าว  ซีด ซึม แต้ถ้าใช้งานอย่างถนอมๆก็ใช้ได้นานทั้งคู่
  

5.ความสะดวกในการขนย้าย
  

ยากกว่า
  

ง่ายกว่า
  

อ่าง ปูนหนัก  ย้ายแต่ละครั้งต้องวัดระดับให้พอดี แต่อ่างไฟเบอร์บางครั้งย้ายคนเดียวได้สบาย  การวางไม่ต้องสัดระดับ ชนอะไรนิดหน่อยก็ไม่แตกง่ายๆ
  

6.การทำความสะอาด
  

ขึ้นอยู่กับการสร้างและการใช้งาน
  

ถ้ามีการทาสีชนิดเคลือบลื่นยืดหยุ่นก็ง่ายแต่ถ้าไม่ทาอ่างไฟเบอร์จะทำความสะอาดง่ายกว่าในช่วงปีแรก  แต่พอใช้งาน
  

7.การรักษา 
อุณหภูมิ
  

     ดีกว่า
  

แย่
  

ซัก ระยะก็ทำความสะอาดยากพอกันครับ  ต้องทาสีใหม่ทั้งคู่เนื่องจากอ่างปูนหนา กว่า  การเก็บรักษาอุณหภูมิจึงดีกว่าแม้จะเป็นฉนวนความร้อนที่ไม่ดีเท่าก็ ตาม เพราะอ่างไฟเบอร์มักจะบางมาก  จึงเก็บรักษาอุณหภูมิได้ไม่ดีเท่าอ่างปูน
  

8.การเริ่มใช้งานครั้งแรก
  

    เสียเวลา
  

ง่าย
  

อ่างปูนจะต้องสะเทินปูนก่อนเลี้ยงจนกว่าค่า  PH จะคงที่ บางครั้งนานเป็นอาทิตย์  แต่อ่างไฟเบอร์ล้างครั้งเดี๋ยวแช่อ่างทดสอบ 1 คืนใช้ได้เลย
  
     



11. ถาม ควรให้ปลากินอาหารเม็ดแบบจมหรือแบบลอยดี
      ตอบ ขึ้นอยู่กับการเลี้ยงเป็นหลักมากกว่าเพราะปลาแตะละชนิดต้องการสารอาหารและ นิสัยการกินที่แตกต่างกันไปหากเป็นปลาที่กินอาหารที่ก้นตู้ อย่างเช่น ปลาหมู ปลาแพะ ให้อาหารลอยคงไม่เหมาะโดยมากแล้วอาหารจมมักมีโปตีนที่สูงกว่าอาหารลอยแต่ปลา หลายๆชนิดที่นิยมเลี้ยงด้วยอาหารจมกว่าอาหารลอย แต่ปลาหลายๆชนิดที่นิยมเลี้ยงด้วยอาหารจมเช่น ปลาคาร์พ ปลาทอง ปลาเหล่านี้ต้องการโปรตีนไม่มากแต่ต้องการพลังงานและไฟเบอร์มากกว่าซึ่งสาร อาหารเหล่านี้มักมีในอาหารลอยมากกว่าอาหารจมผู้เลี้ยงเองคงต้องพิจารณาและ สลับอาหารตามความเหมาะสมจะดีกว่าครับ อาหารทุกชนิดมีข้อดีและข้อเสียในตัว ขึ้นอยู่กับผู้เลี้ยงว่าจะเลี้ยงปลาชนิด ใด และเลี้ยงอย่างไร


12. ถาม ให้อาหารเร่งสีแล้วทำให้สีเลอะหรือสีลามจริงหรือ
      ตอบ เป็นความจริงครับปลาที่กินอาหารเร่งสีแล้วสีเลอะ หรือสีลามเกิดจาก 2 ประเด็น คือ        
            1.ให้มากเกินไป หรือในอาหารมีสารสีสูงมาก 
            2.ตัวปลาเองมียีนส์หรือรหัสพันธุกรรมแฝงอยู่ที่เรียกว่าMarble Geng เมื่อได้รับการกระตุ้นจากสิ่งแวดล้อมหรือสารสีก็จะทำให้สีเหล่านี้ปรากฏออก มาได้
โดย สีที่ปรากฏออกมานั้นจะเป็นไปตามลักษณะสารที่ให้เช่น ถ้าให้สารสีแดง สีที่ปรากฏก็จะเป็นสีเหลือง ส้ม ไปจนถึงสีแดงซึ่งประสิทธิภาพของสารสีจะส่งผลให้สีที่ปรากฏออกมาถูกต้องตาม ธรรมชาติหรือผิดเพี้ยน ก็เป็นไปทั้ง 2 อย่าง
สาร สีที่นิยมใช้ในอาหารปลาส่วนใหญ่จะเป็นพวกแคโรทีนอยด์(ให้สีถูกตามธรรมชาติ แต่เร่งได้ผลช้า)แคนทาแซนธิน (ให้สีผิดเพี้ยนมากมักมีสีแดงขึ้นเลอะแต้เห็นผลไว),แอสต้าแซนธิน(ให้สีแดง ที่ผิดเพี้ยนน้อยกว่าแคนทาแซนธินและได้ผลไวกว่า)หรือสารสีที่ราคาสูงมากๆ อย่างแอนโธไซยานิน(ให้สีถูกต้อง สม่ำเสมอ กระตุ้น Marble Gene ทุกสีให้แสดงผลและเห็นผลไว)ถึงอย่างไรก็ตามสายพันธุ์ของปลาที่ทำปลาสวยๆหลาย ฟาร์มจะมีการคัดพันธุ์และเก็บพ่อแม่พันธุ์ไว้อย่างไข่ในหินเลยที่เดียว


13. ถาม ให้ปลากินไรทะเลแล้วไม่ดีเพราะมีความเค็มจริงหรือ
      ตอบไม่ จริงทั้งหมดครับ เพราะถ้าหากมีการสลับสับเปลี่ยนอาหารเป็นประจำก็ไม่มีปัญหาแต่ถ้าให้กิน อาหารต่อเนื่องก็เกิดปัญหาแน่นอน จริงอยู่ไรทะเลมีความเค็ม เพราะถูกเลี้ยงในน้ำเค็มถ้าหากให้กินเพียงอย่างเดียวบ่อนๆไม่นานก็ต้องเป็น โรคไต หรือไตวายเหมือนคนที่กินอาหารรสเค็มจัด ทางที่ดีก่อนที่จะนำไรทะเลมาให้ปลากินควรแช่น้ำประมาณครึ่ง–1 ชม.ให้ความเค็มเจือจางเสียก่อนก็จะช่วยได้ระดับหนึ่งครับ



14. ถาม ไม่อยู่บ้านหลายวัน จะทำอย่างไรดี ปลาทองอดอาหารได้นานแค่ไหน
      ตอบ ปลาทองสามารถอดอาหารได้ 2 สัปดาห์สบายๆแต่ถ้าเป็นปลาขนาดใหญ่อย่างออรันดายักษ์ อาจจะอดอาหารได้นานถึง 1 เดือน ในกรณีที่ไม่อยู่บ้าน 1-2 สัปดาห์ก่อนไปให้ทำการเปลี่ยนถ่ายน้ำ ดูดเศษอาหาร ขี้ปลาออกจากตู้/อ่างล้างใยแก้วให้สะอาดงดให้อาหารเพราะปลาจะขับถ่ายออกมาทำ ให้เกิดของเสียตกค้างในอ่างหรือตู้ ก็คือ 1 สัปดาห์ ก็อาจจะให้อาหารก่อนสักเล็กน้อยก่อนไปหรืออาจจะใช้เครื่องให้อาหารอัตโนมัติ ก็ได้ กลับมาก็เปลี่ยนถ่ายน้ำตามปกติครับแต่ถ้าเป็นในกรณีที่ไม่มีระบบกรองแต่ เลี้ยงแบบเปลี่ยนน้ำทุกวันก่อนจะไปควรเปลี่ยนถ่านน้ำให้สะอาด งดอาหารที่สำคัญก่อนออกจากบ้านควรเช็คระบบให้อากาศ ปั๊มน้ำ และปลั๊กไฟต่างๆให้ดีเพราะสาเหตุที่ทำให้ปลาตายมากที่สุดสาเหตุหนึ่ง เวลาที่ผู้เลี้ยงไม่อยู่บ้านก็คือไฟดับ ปั๊มลมไม่ทำงาน ทำให้ปลาขาดออกซิเจนในที่สุด


Add caption

15. ถาม ปลาช็อคน้ำ น็อคคลอรีนแก้ไขอย่างไร
      ตอบ ปลาที่น็อคคลอรีนมานั้นจะมีอาการหายใจหอบตัวซีดขาวบางทีอาจมีสีดำคล้ำคาดตาม ลำตัว ขับเมือกออกมาเยอะมากกว่าปกติ ว่ายน้ำช้าหรือลอยหัวทั้งหมดนี้เนื่องจากคลอรีนนั้นได้ทำลายเซลล์ชั้นนอก ตามอวัยวะต่างๆ บางส่วนไปแล้วคลอรีนจะมีผลมากที่เหงือก ดวงตา และผิวหนังใต้เกร็ดเหงือกจะแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนได้น้อยลง เยื่อบุดวงตาอาจจะขาวขุ่นในเวลาต่อมาผิวหนังจะขับเมือกมากเพื่อลดการระคาย เคือง การแก้ไขคือให้นำปลาออกจากน้ำที่มีคลอรีนทันทีหรือถ่ายน้ำให้หมดเติมน้ำใหม่ ซึ่งโดยมากหากไม่มั่นใจจะใช้น้ำดื่มก็ได้เติมเกลือลงในน้ำเล็กน้อยในอัตรา ส่วน เกลือ 1 กรัม/น้ำ 1 ลิตร เพื่อลดความเครียด และให้อากาศเยอะๆหากเป็นไปได้ให้ใช้ออกซิเจนบริสุทธิ์เติมลงน้ำแทนออกซิเจน บริสุทธิ์เป็นแบบเดียวกับที่ใช้แพ็คถุงปลา การเติมยาอื่นใดอาจจะไม่ได้ผลในการรักษาหรืออาจเป็นการทำร้ายปลาเพิ่มขึ้น อีก ยาที่จะใช้ได้ควรเป็นยาจำพวกลดการอักเสบยาเหลืองญี่ปุ่นก็อาจจะใช้ได้บ้าง แต่ขอให้ใช้ตามที่ฉลากระบุไว้ปลาจะพื้นตัวช้าหรือเร็วก็จะขึ้นอยู่กับความ แข็งแรงแล้ว



16. ถาม ปลาทองอยู่ในถุงที่อัดออกซิเจนได้นานแค่ไหน


ตอบ 
ระยะ เวลาที่ปลาจะอยู่ในถุงปิดผนึกอัดออกซิเจนระหว่างการขนส่งได้นานแค่ไหนนั้น ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นชนิดปลา(ปลากลุ่มปลาซิวและตะเพียนใช้ออกซิเจนเยอะ) จำนวนปลา (ยิ่งปลาเยอะก็ใช้ออกซิเจนเยอะ)ขนาดปลา (ปลาขนาดเล็กใช้ออกซิเจนได้เยอะกว่า) ขนาดถุง (ถุงใหญ่ก็เติมน้ำเติมออกซิเจนได้เยอะ)ปริมาตรน้ำ (น้ำเยอะ ปลาเครียดน้อย ก็ใช้ออกซิเจนน้อยลง) ปริมาตรอากาศภายในถุง(อากาศเยอะก็หมายความว่าออกซิเจนเยอะ) อุณหภูมิ(ถ้าอากาศร้อนปลาก็ใช้ออกซิเจนเยอะตามไปด้วย ปกติควรควบคุมอุณหภูมิ ให้อยู่ต่ำกว่า28 °C) ทั้งหมดนี้จะเห็นว่าปัจจัยต่างๆนั้นสัมพันธ์กันทั้งสิ้นโดยปกติแล้วเท่าที่เห็นมาการอัดออกซิเจนแบบทั่วๆไปปลาจะอยู่ในถุงได้นานราวๆ8-12 ชม.แต่ถ้าแพ็คตามมาตรฐานการขนส่งปลาอาจจะอยู่ในถุงได้ถึง 48 ชม.ซึ่งมักเป็นการแพ็คเพื่อการส่งออกครับ้าอากาศร้อนปลาก็ใช้ออกซิเจนเยอะ ตามไปด้วยขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยไม่ว่าเป็น



17. ถาม ทำไมปลาทองถึงชอบไล่กัน แล้วจะแก้ปัญหาอย่างไน


ตอบ 
ปลา ทองเป็นปลาที่ดูแล้วน่ารักนิสัยดี แต่เชื่อไหมครับว่าในหมู่ปลาทองก็มักนักเลงและพวกเจ้าชู้เช่นกัน ปลาทองบางตัวที่แข็งแรงมากๆจะมีนิสัยก้าวร้าว ชอบไล่ปลาอื่น หรือในช่วงใกล้ผสมพันธุ์ตัวผู้ตัวเมียก็มักไล่กันไปมาวิธีการแก้ปัญหาทำได้ ง่ายๆคือให้เราลองหาสาหร่ายปลอมใส่ในตู้เพื่อให้ปลามีที่หลบซ่อนบังสายตากัน และกันให้มากขึ้น หรือแยกตัวที่ดุออกไปเลี้ยงที่อื่นหรือไม่ควรเลี้ยงรวมกันในจำนวนที่หนาแน่น ตั้งแต่แรกครับัน แล้วจะแก้ปัญหาอย่างไน
ถึาวๆท่าที่

18. ถาม ปลาทองหัวสิงห์ที่หลังเป็นบุบรอยสะดุดเอามาเลี้ยงหลังจาเต็มเหมือนที่คนขายหรือเจ้าของฟาร์มบอกจริงหรือ
      ตอบ จริงๆแล้วรอยบุบที่หลังปลานั้นเกิดขึ้นจาก2สาเหตุ 1.พันธุกรรม 2.ไม่ได้รับอาหารที่สมบูรณ์เพียงพอบางครั้งรอยบุบอาจจะเกิดตั้งแต่ตอนที่ยัง เป็นปลาเล็ก อาจสังเกตไม่เห็นเมื่อปลาโตขึ้น รอยบุบก็ขยายตาม ทำให้เห็นเด็นชัดขึ้น ปลาที่หลังบุบเป็นรอยมีโอกาสที่จะเต็มและไม่เต็ม(จะมีโอกาสไม่เต็มมากกว่า) ขึ้นอยู่กับว่าบุบแบบไหน ถ้าบุบแบบเอามือลูบแล้วรู้สึกว่าเป็นหลุมลงไปและไปสัมผัสเจอปุ่มปม อันนั้นคงไม่เต็มครับแต่ถ้าลูบแล้วรู้สึกว่าบุ๋มลงไปนิดหน่อย ก็มีโอกาสที่จะเต็มได้แต่ต้องให้อาหารให้สมบูรณ์ เพื่อให้ปลาอ้วน จนดูเหมือนว่าเนื้อบริเวณนั้นขึ้นมาเต็มแต่ก็เป็นเรื่องยากครับ เพราะฉะนั้นทางที่ดีเวลาเลือกปลาควรจะเลือกปลาที่หลังเนียนๆที่สุดเอาไว้ ก่อนดกว่า

19. ถาม เลี้ยงปลาที่มีครีบหลัง (กระโดง) ในน้ำตื้น แล้วครีบจะพับจริงหรือ


ตอบ 
ไม่จริงทั้งหมดครับ การพับของครีบไม่ได้เกิดจากสาเหตุเดียว คือการเลี้ยงในน้ำตื้น ประมาณ 10-20 ซม. แต่ยังมีอีกหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของพันธุกรรม กระแสน้ำและการจับปลาอย่างไม่ระมัดระวัง ยกตัวอย่างปลาออรันดาหรือริ้วกิ้นหางยาวสวยครีบจะบางและอ่อน มีโอกาสที่ครีบจะพับได้ง่าย โอกาสที่ว่านี้อาจเกิดจากกระแสน้ำที่พ่นออกมาจากกรองหรือโฟลว์น้ำลงไปแรงๆ การจับแบบไม่ระมัดระวังหรืออาจจะพับไปเองดื้อๆก็มี บางครั้งการเลี้ยงในน้ำลึกๆสำหรับการเลี้ยงปลาทองคือตั้งแต่30 ซม.ขึ้นไปตัดเรื่องกระแสน้ำและการจับปลาอย่างไม่ระมัดระวังออกไปแล้ว ก็ยังมีการพับของครีบให้เห็นในบางครั้งเพราะฉะนั้นจึงขอสรุปว่า สาเหตุที่ทำให้ปลาครีบพับนั้นไม่ได้มาจากการเลี้ยงมนน้ำตื้นเพียงอย่างเดียว เรื่องของพันธุกรรมก็มีผลด้วย แต่การเลี้ยงน้ำลึกก็มีข้อดีคือมวลน้ำที่มากอุณหภูมิจะคงที่ ปลาก็จะไม่ป่วยง่าย

20. ถาม เลี้ยงปลาทองในน้ำลึกๆแล้ววุ้นไม่ขึ้นหรือขึ้นช้าจริงหรือ


ตอบ 
ไม่ จริงด้วยประการทั้งปวงครับการที่วุ้นจะสวยหรือขึ้นช้าขึ้นเร็ว ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และอาหารมากกว่าโดยเฉพาะอาหารที่มีโปรตีนสูงๆที่ช่วย เสริมสร้างอวัยวะส่วนต่างๆของปลาลองเปรียบเทียบกันนะถ้าเลี้ยงน้ำลึกแล้ว วุ้นมาช้าหรือไม่มา แล้วทำไมปลาทองออรันดาที่เลี้ยงน้ำลึกวุ้นถึงขึ้นฟูเต็มหน้าได้ละครับ

เครดิตที่มา นิตยสาร The Fish max

*****************************************************


อ่านเรื่องราวของปลาสวยงาม หรือ สัตว์เลี้ยงต่างๆ รวมถึงเรื่องราวที่น่าสนใจอื่นๆ 

เพิ่มเติมได้ที่นี่จ้า 

http://myaqualove.blogspot.com 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น